ไทยพีบีเอสออนไลน์ขยายประเด็นเรื่องนี้ให้เป็นเรื่อง ๆ ไป เริ่มต้นต้องทำความเข้าใจอนาโตมี หรือ กายวิภาคของปลาทั้ง 2 ชนิดไปด้วยกันก่อน
คำเตือน บทความนี้ เขียนตามข้อมูลเชิงวิชาการ แต่นำเสนอในมุมของการเล่าด้วยภาษาไม่เป็นทางการ เพื่อให้เข้าใจกันอย่างง่ายที่สุด
ปลาหมอคางดำ
เป็นปลาประจำถิ่นของประเทศในแถบแอฟริกา ไม่มีต้นกำเนิดในไทย จึงถือเป็น "เอเลี่ยนสปีชีส์" ที่ไม่ควรมีอยู่ในประเทศไทยอย่างเด็ดขาด การเข้ามาของปลาหมอคางดำจึงถือว่าเป็นการรุกรานสัตว์น้ำและระบบนิเวศของไทยอย่างรุนแรง
ธรรมชาติของปลาหมอคางดำ เป็นปลาที่เกิดในน้ำกร่อย แต่สามารถไปโตได้ในน้ำจืด หรือ น้ำเค็ม เรียกว่าอยู่ได้ทุกน้ำ แม้กระทั่งน้ำที่มีคุณภาพน้ำไม่ดีพอ ก็เจริญเติบโตได้ ตัวเต็มวัยจะมีขนาดความยาวประมาณ 20 ซม. ตัวเมียใช้เวลาตั้งท้องเพียง 22 วันก็วางไข่ จากนั้นมันจะสามารถตั้งท้องได้ต่อทันที ส่วนตัวผู้จะทำหน้าที่เป็นพ่อผู้ปกป้องอันตรายให้ลูก ด้วยการฟักไข่ในปากตัวเอง ยอมอดข้าวเป็นเวลากว่า 2-3 สัปดาห์จนกว่าไข่จะฟักออกมาเป็นตัว แล้วพ่อปลาจึงปล่อยลูกปลาหมอคางดำออกมาจากปลา
การดูแลลูกแบบนี้ทำให้อัตราการรอดชีวิตของไข่ที่ฟักออกมาเป็นตัวมีมากถึงร้อยละ 99
หลังจากที่พ่อปลาปล่อยลูกออกจากปากแล้ว ก็จะไปอมไข่ที่แม่ปลาตัวอื่น ๆ วางไว้อีก และจะวนเป็นวัฎจักรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จึงทำให้ปลาหมอคางดำเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยมีเนื้อ เพราะไม่ค่อยได้กินอาหาร แต่เมื่อต้องกินก็จะกินแหลกลาญ
ลำไส้ของปลาหมอคางดำมีความยาวมากกว่าลำตัวของตัวเองถึง 4 เท่า นั่นหมายถึงปลาหมอคางดำจะหิวตลอดเวลา จึงทำให้มีนิสัยที่ดุร้ายเพราะความต้องการอาหารมีไม่เคยหยุด เหล่าฝูงมัจจุราชใต้น้ำเหล่านี้สามารถกินได้ทุกอย่างทั้งสัตว์น้ำตัวเล็ก ๆ พืชน้ำ และซากสิ่งมีชีวิตที่ทับถมใต้น้ำ
ดู ๆ ไปแล้ว ปลาหมอคางดำ คือการรวมร่างของสัตว์ 3 ชนิด ซักเกอร์ที่กินซาก ปิรันยาที่กินสัตว์น้ำ และหอยเชอร์รี่ที่กินพืช
ปลาหมอคางดำ นำมาทำอาหาร
ปลากะพงขาว
ปลากะพงขาวเป็นปลากินเนื้อ กินสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กกว่า "ปากของตัวมันเอง" ทุกชนิดเป็นอาหาร และยังเป็นปลาที่กินพวกเดียวอีกด้วย ไม่กินพืชน้ำใด ๆ มีนิสัยนักล่าฉายา "นักล่าลุ่มน้ำกร่อย" คอนเซปต์ "กินหมดไม่สนลูกใคร" และจุดสำคัญที่ทำให้ถูกคัดเลือกเป็นคู่ท้าชิงกับปลาหมอคางดำก็คือ เป็นปลาที่สามารถอยู่ได้ทั้งในน้ำกร่อยและน้ำจืด เมื่อโตเต็มวัยจะมีความยาวมากถึง 20-40 ซม.
ปลากระพงเกิดในน้ำกร่อย โตได้ในน้ำจืด
ปลาหมอคางดำเกิดในน้ำจืด โตได้ในน้ำกร่อย
แม่ปลากะพงขาวจะวางไข่ครั้งหนึ่ง 200,000-400,000 ฟอง แต่กว่าจะเป็นแม่ปลาได้ ต้องผ่านการใช้ชีวิตเป็นสาวรุ่นมานาน 3-4 ปีก่อน หลังจากแม่ปลาปล่อยไข่ที่ผสมน้ำเชื้อพ่อปลาลงสู่แหล่งน้ำกร่อย หรือ ชายทะเลแล้ว ไข่จะฟักเป็นลูกปลาในเวลาไม่ถึง1 วัน
แต่จุดอ่อนของปลากระพงขาวคือ ความสะอาดของน้ำ ถ้ามีค่าออกซิเจนในน้ำน้อย ก็อาจทำให้ปลากะพงขาวตายได้ และนิสัยการกินกันเอง ก็เป็นการฆ่าตัดตอน และคุมกำเนิดตามธรรมชาติไปในตัว เรียกว่า กว่าจะได้ซูเปอร์ฮีโร่ปลากะพงขาวสักตัวคงพัฒนาฝีมือหลบหนีการสวบกันเองมานับครั้งไม่ถ้วน
ปลากะพงขาว
ปลากระพงขาว VS ปลาหมอคางดำ
เมื่อเข้าใจต้นกำเนิดของปลาแต่ละชนิดแล้ว ที่นี้ลองมาจับคู่ว่าเหตุใดกรมประมงจึงเลือกใช้ "ปลากะพงขาว" เป็นคู่ปรับ "ปลาหมอคางดำ"
- แน่นอนว่าธรรมชาติของ "สัตว์โลกทุกชนิด" รู้จักกัด ฉีก เคี้ยว อาหารเพื่อให้เล็กกว่าปากจะได้กลืนได้ ปลากะพงขาวก็เช่นกัน มันจะรอสวบหรือฮุบลูกปลาที่เล็กกว่าปากตัวมันเองเสมอ
- แหล่งน้ำที่พูดถึงคือ น้ำจืดและน้ำกร่อย มีน้ำทะเลบ้างประปราย คู่ชกในเวทีนี้จึงเหลือแค่ ปลากะพงขาวและปลาหมอคางดำ เท่านั้น ชะโด หรือ ปลาอื่น ๆ หมดสิทธิ์
- สถานที่เกิดเหตุ ปลากะพงขาวโตเต็มวัยได้ในน้ำจืด ในขณะที่น้ำจืดคือแหล่งฟักตัวของ "ลูกปลาหมอคางดำ" เมื่อพ่อปลาหมอคางดำฟักลูกออกมาจากปาก ปลากะพงขาวก็สวบเข้าให้!
- แต่การจะจำกัดพื้นที่ให้ปลากะพงขาวสวบแต่ลูกปลาหมอคางดำนั้น ต้องทำให้พื้นที่ปิดเท่านั้น
- เพราะธรรมชาติปลาหมอคางดำ แม้ตัวโตเต็มวัยจะโตได้ไม่เท่าปลากะพงขาว แต่ความว่องไวนั้นชนะขาด และความอึด ถึก อดทนต่อคุณภาพน้ำที่ออกซิเจนต่ำนั้นมีมากกว่าปลากะพงขาว
- ถ้าปลากะพงขาวมาเจอสถานการณ์เช่นนั้น ยังไงก็ไม่ฮุบลูกปลากินอย่างแน่นอน ว่ายไม่ทัน ออกซิเจนในน้ำน้อย เหนื่อย!
- ส่วนแม่ปลาหมอคางดำนั้น "ท้องเดือนละรอบ" พ่อปลาหมอก็ช่วยฟักในปาก "ยังไงก็รอด" จะหวังพึ่งแต่ปลากะพงขาวคอยกินให้ประชากรลด คงไม่รอด!
- ส่วนใครที่คิดว่า ปล่อยปลากะพงขาวกินลูกปลาหมอคางดำหมดแล้ว ทำยังไงต่อ ... ก็จับขายได้เลย ถือว่าประหยัดค่าอาหารเลี้ยงปลากระพงไปในตัว
ชัด ๆ อีกสักรอบ ปลากะพงขาวใช้กำจัดปลาหมอคางดำ เฉพาะตอนเป็นลูกปลาหมอคางดำและต้องอยู่ในบ่อปิด เท่านั้น นอกนั้นไม่กิน ว่ายหนีเพราะเจอแหล่งน้ำเปิด หากินอย่างอื่นง่ายกว่าเยอะ
ขออนุญาตใช้คำว่า สวบ และ ฮุบ เพราะทำให้เห็นถึงอากัปกิริยาที่ชัดเจนของปลากะพงขาว เนื่องจากปลากะพงขาวไม่กัด แต่ฮุบเข้าปากแล้วเคี้ยว
"น้ำจิ้มซีฟู้ด" เท่านั้นที่ Knock คางดำ
การให้ธรรมชาติคัดสรรกันเองย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่นั่นต้องเป็นในกรณีของระบบนิเวศแบบปกติ แต่ขณะนี้เอเลี่ยนสปีชีส์บุกแหล่งน้ำไทย วิธีการ Set Zero ต้องพึ่งความสามารถของผู้บริโภคขั้นสูงสุดอย่าง "มนุษย์" เท่านั้น แม้ปลาหมอคางดำจะเนื้อน้อย ตัวเล็ก ก้างเยอะ ไม่อร่อย แต่ก็เหมาะกับการจับมากินและขายเสริมรายได้งาม ๆ ได้อยู่บ้าง เพราะประชากรปลาหมอคางดำล้นทะลักทั้งแหล่งน้ำ ชายฝั่งทะเลทางใต้ ตะวันตก และลามเข้าบึงมักกะสัน ขนาดนี้
การใช้มนุษย์แทรกแซงระบบธรรมชาติที่ปั่นป่วนเข้าขั้นวิกฤตคือสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ
การแพร่พันธุ์เพื่อดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ของตนเองนั้น คือสัญชาตญาณของสัตว์ แต่ในวันที่สัตว์ชนิดนั้นคือ "ความไม่ต้องการ" ก็ต้องถูกกำจัด เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของสัตว์น้ำ พืชน้ำ ประจำถิ่นไว้ไม่ให้สูญพันธุ์
ยิ่งมารุกรานในไทย อาวุธที่ใช้ก็หาไม่ยาก ตะไคร้ พริก กระเทียม มะนาว น้ำปลา ผักชีนิดหน่อย หรือจะหมักเป็นปลาร้า น้ำปลา น้ำยาป่า อย่าชะล่าใจฝีมือแม่ครัว-พ่อครัวหัวป่าก์ เมื่อรู้ว่ากินได้ ทำไมจะไม่ลองรังสรรค์เมนูกันดูล่ะ
รู้หรือไม่ : มนุษย์เคยล่า นกโดโด้ ช้างแมมมอธ กินจนสูญพันธุ์มาแล้วนะ และยุคนั้นยังไม่รู้จักน้ำจิ้มซีฟู้ดกันเลยด้วย จบ!
อ่านข่าวเพิ่ม :
กทม.หาทางสกัด "ปลาหมอคางดำ" จ่อลงทะเบียนเยียวยาเกษตรกร
เปิดรายงานฉบับเต็ม "คณะกรรมการสิทธิฯ" ใครทำ "ปลาหมอคางดำ" ระบาด?