วันนี้ (23 ม.ค.2568) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่จะบังคับใช้มาตรการทางภาษี โดยจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากรัสเซียให้สูงลิ่ว และประกาศมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม หากรัสเซียยังไม่ยอมยุติสงครามในยูเครน
ผู้นำสหรัฐฯ โพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ Truth Social ของตนเอง โดยระบุว่า ความพยายามในการยุติสงครามครั้งนี้ นับเป็นประโยชน์ต่อผู้นำรัสเซียเอง เนื่องจากเศรษฐกิจรัสเซียเวลานี้กำลังตกต่ำ และสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงหากยังไม่ทำข้อตกลงกันในเร็ววันนี้ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ทรัมป์ย้ำว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องทำข้อตกลงเพื่อไม่ให้สูญเสียเลือดเนื้อเพิ่มอีก
จากความเคลื่อนไหวดังกล่าวของผู้นำสหรัฐฯ ยังไม่มีท่าทีตอบโต้ใด ๆ จากทางการรัสเซีย แต่ช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลรัสเซีย ระบุว่า รัสเซียยังมีโอกาสจะเจรจาหารือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่เป็นเวลาอีกไม่มากนัก
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์เปิดเผยว่าจะหารือกับวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียเร็ว ๆ นี้ และเป็นไปได้ว่าอาจจะใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมหากปูตินไม่ยอมเจรจาด้วย ซึ่งการโพสต์คำขู่ลงในในสื่อสังคมออนไลน์ นับเป็นการยกระดับการกดดันรัสเซียเพิ่มเติมของผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ และเป็นท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เคยเข้าอกเข้าใจ ประนีประนอมกับรัสเซียมากกว่านี้
ย้อนไปก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีรัสเซียเคยย้ำหลายครั้งว่า ตนพร้อมจะเจรจาเพื่อหาทางยุติสงครามแต่มีเงื่อนไขว่ายูเครนต้องยอมรับการสูญเสียดินแดนที่รัสเซียเข้ายึดครองได้ นับตั้งแต่เกิดสงครามเมื่อปี 2022
ปัจจุบันรัสเซียครอบครองดินแดนยูเครนอยู่ประมาณร้อยละ 20 ซึ่งในทางกลับกันยูเครนยืนกรานว่าจะไม่ยอมสูญเสียดินแดนแม้แต่น้อย
ด้านผู้ช่วยผู้แทนถาวรรัสเซียประจำสหประชาชาติ เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ส ว่ารัฐบาลรัสเซียจะต้องทราบก่อนว่าผู้นำสหรัฐฯ มีเงื่อนไขอะไรอยู่ในใจบ้างที่จะยุติสงครามครั้งนี้ จากนั้นรัสเซียจึงจะสามารถเดินหน้าพิจารณาท่าทีต่อไปได้
"เซเลนสกี" วอนประชาคมโลกใส่ใจช่วยเหลือยูเครน
ขณะที่โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ซึ่งเดินทางไปร่วมการประชุม World Economic Forum ระบุว่า ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วข้อตกลงหยุดยิงจะเกิดขึ้นในรูปแบบใด ยุโรปจะต้องใช้กองกำลังพิทักษ์สันติภาพ ที่มีกำลังพลไม่ต่ำกว่า 200,000 นาย จึงจะคอยสังเกตการณ์และดูแลความสงบเรียบร้อยไม่ให้เกิดความรุนแรงในพื้นที่ขัดแย้งต่อไปอนาคตได้ ซึ่งจำนวนนี้ใกล้เคียงกับทหารฝรั่งเศสทั้งกองทัพ ตามการประเมินเมื่อปี 2020 ซึ่งนี่จะเป็นเงื่อนไขที่ยูเครนต้องการเพื่อรับประกันว่าจะปลอดภัยจากภัยคุกคามต่างๆ ในอนาคต
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ เกิดขึ้นท่ามกลางรายงานจากเจ้าหน้าที่ของชาติตะวันตก ที่ระบุว่า ทหารเกาหลีเหนือซึ่งถูกส่งไปร่วมรบเพื่อป้องกันดินแดนรัสเซียในภูมิภาคคูร์สก์ หลังถูกทหารยูเครนบุกเข้ายึดครองเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 1,000 นายในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากจำนวนทหารที่ส่งไปทั้งหมดประมาณ 11,000 นาย
ในจำนวนนี้น่าจะมีทหารที่ได้รับบาดเจ็บอีกประมาณ 3,000 นาย ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุดจากช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่ไม่ทราบชัดเจนว่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บมีอาการรุนแรงมากน้อยแค่ไหน หรือว่าได้รับการรักษาดูแลหรือไม่ และไม่ทราบเช่นกันว่าจะมีการส่งทหารเข้าไปประจำการเพิ่มเติมเพื่อทดแทนกำลังพลที่ศูนย์เสียไปหรือไม่
ก่อนหน้านี้หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้เคยออกมาระบุว่า ทหารเกาหลีเหนือไม่มีความพร้อมในการทำสงครามยุคใหม่ โดยเฉพาะการรับมือกับการตกเป็นเป้าการโจมตีของอากาศยานไร้คนขับหรือโดรน ที่ยูเครนใช้เป็นอาวุธที่สำคัญชนิดหนึ่งในพื้นที่แนวหน้า
แต่ถึงอย่างไรผู้บัญชาการทหารยูเครนระบุว่า ทหารเกาหลีเหนือเป็นอุปสรรคสำคัญในการสู้รบสำหรับทหารยูเครนในพื้นที่แนวหน้า เนื่องจากกำลังพลเหล่านี้มีแนวทางการรบโดยใช้ยุทธวิธีอย่างอดีตสหภาพโซเวียต และเน้นความได้เปรียบในเรื่องจำนวนกำลังพล
ขณะที่ในประเด็นผู้อพยพ ผู้นำสหรัฐฯ เพิ่งลงนามในคำสั่งบริหารใหม่ สั่งการให้หน่วยงานรัฐบาลกลางใช้นโยบายผลักดัน ส่งกลับ และขับไล่คนต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง ตลอดพรมแดนตอนใต้ของสหรัฐฯ ที่ติดกับเม็กซิโก
เท็กซัสติดตั้งแนวทุ่นกั้นแม่น้ำขวางผู้อพยพข้ามพรมแดน
ขณะที่ บริเวณแม่น้ำริโอแกรนด์ ซึ่งกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐฯ ที่รัฐเท็กซัสกับฝั่งเม็กซิโก มีเจ้าหน้าที่นำเครื่องจักรหนักเข้าติดตั้งทุ่นลอยน้ำ ในแม่น้ำ ตามคำสั่งของผู้ว่าการรัฐเท็กซัส เพื่อพยายามขัดขวางไม่ให้ผู้อพยพข้ามพรมแดนเข้ามาในสหรัฐฯ ได้สำเร็จ
ขณะที่สื่อท้องถิ่นในเม็กซิโกรายงานว่าทุ่นเหล่านี้มีเจ้าหน้าที่นำมาติดตั้งชุดแรกตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม หลายวันก่อนผู้นำสหรัฐฯ จะสถาบันตนรับตำแหน่ง และดูเหมือนว่าตอนนี้มีทุ่นลอยอยู่เป็นระยะทางไม่ต่ำกว่า 1 กิโลเมตรแล้ว
อ่านข่าว : เปิดกำหนดการ งานสมรสเท่าเทียม ครั้งแรกของไทย