สรรพสามิตหนุน อบจ.เก็บรายได้ภาษีน้ำมัน-ยาสูบด้วยตนเอง ให้เงินในคลังยั่งยืน
เมื่อวันที่ 28 กันยายน นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมสรรพสามิต และนายขวัญชัย วงศ์นิติกร อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง เรื่อง การส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดดำเนินการจัดเก็บรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ณ ห้องแคทลียา โรงแรมรามาการ์เด้นท์
นายพงษ์ภาณุ เปิดเผยว่า การกระจายอำนาจให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้มีอิสระในการบริหารงานของตนเอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องพึ่งพารายได้ของตนเอง เป็นหลัก โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำหน้าที่จัดเก็บภาษีด้วยตนเอง การที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำหน้าที่จัดเก็บภาษีเองจะทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการบริหารงานของตนเองอย่างเต็มที่
แต่ในปัจจุบันรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่วนใหญ่ยังเป็นรายได้ที่เกิดจากภาษีที่รัฐบาลเป็นผู้จัดสรรให้ การพึ่งพาเงินจากรัฐบาลมากกว่าการพึ่งพารายได้ของตนเอง ทำให้องค์กรปกครองท้องถิ่นขาดความเป็นอิสระในการบริหารงานของตนเอง ความเป็นอิสระที่แท้จริงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถพึ่งพารายได้ของตัวเองเป็นหลัก ภายใต้กรอบของพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และที่แก้ไขเพิ่มเติมและพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 อบจ. มีอำนาจจัดเก็บภาษีบำรุง อบจ. จากน้ำมันและยาสูบเอง แต่ในทางปฏิบัติ อบจ. ส่วนใหญ่ได้มีการออกข้อบัญญัติและมอบอำนาจให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้จัดเก็บแทนตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา ซึ่งกรมสรรพสามิตได้ออกข้อบังคับกรมสรรพสามิตเพื่อดำเนินการจัดเก็บภาษีบำรุง อบจ. จากน้ำมันและภาษียาสูบแทน
ในการดำเนินการจัดเก็บภาษีแทนนั้น กรมสรรพสามิตมีอำนาจรับจดทะเบียนและรับชำระภาษีให้เท่านั้น แต่ไม่มีอำนาจในการประเมินภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม ติดตามตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของการชำระภาษี บังคับเรียกเก็บภาษีอากรค้างชำระ ใช้มาตรการทางอาญาดำเนินการกับผู้ที่ฝ่าฝืนข้อบัญญัติ หรือเปรียบเทียบคดี เพราะเกินเลยอำนาจของกฎหมาย เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตจึงทำได้เพียงแจ้งข้อมูลให้ อบจ. ทราบเท่านั้น
ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีบำรุง อบจ. กรมสรรพสามิตจึงได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาหน่วยงาน โดยจะปรับเปลี่ยนบทบาทของกรมสรรพสามิตเป็นที่ปรึกษาให้แก่ อบจ. แทนการดำเนินการจัดเก็บภาษีให้ ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนบทบาทดังกล่าวกำหนดระยะเวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555
นายพงษ์ภาณุ กล่าวอีกว่า กรมสรรพสามิต และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้จัดทำบันทึกข้อตกลงเพื่อร่วมมือกันส่งเสริมและสนับสนุนให้ อบจ. มีความสามารถในการจัดเก็บรายได้เองอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะร่วมกันพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถ ในการจัดเก็บภาษีให้แก่ อบจ. และให้กรมสรรพสามิตและกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา เพื่อให้อบจ. ลดการพึ่งพาเงินอุดหนุนจากส่วนกลาง และมีความเข้มแข็งทางการคลัง