วันนี้ (4 ก.พ.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้แจงข้อเท็จจริงหลังเกิดเหตุผู้ค้าในตลาดโรงเกลือหลายร้อยคนล้อมกรอบเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่บุกจับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ระบุว่าการปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามกฎหมาย พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการปิดล้อมของมวลชนชาวกัมพูชา มีเบื้องหลังและมีผู้ได้รับผลประโยชน์เป็นขบวนการอยู่เบื้องหลัง
ดีเอสไอพิเศษขอชี้แจงข้อเท็จจริงในการปฏิบัติงาน ดังนี้
1.กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับการร้องขอจากสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย ตั้งแต่เดือนกันยายน 2558 โดยขอให้ปราบปรามจับกุมผู้ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ประเภทน้ำหอม ซึ่งมีจำนวนมากบริเวณตลาดโรงเกลือ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้อนุมัติให้ทำการสืบสวน เป็นสำนวนสืบสวนที่ 141/2558 โดยผู้สืบสวนได้ทำการสืบสวนเรื่องนี้มาโดยตลอด โดยมีตัวแทนผู้เสียหายสนับสนุนข้อมูล จนพบว่ามีมูลความผิดและมีของละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจำนวนมาก ทำเป็นธุรกิจขนาดใหญ่และเป็นเรื่องที่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นแหล่งจำหน่ายของละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาแหล่งใหญ่ และน่าจะเป็นเครือข่ายอันอยู่ในอำนาจที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการตามกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษ อธิบดีจึงมีคำสั่งให้สอบสวนเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ ตามคดีพิเศษที่ 7/2559 เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี
2. ก่อนเกิดเหตุ วันที่ 2 ก.พ.2559 พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้นำพยานหลักฐานขอหมายค้นต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจำนวน 3 จุด ซึ่งศาลได้ตรวจพยานหลักฐานและอนุมัติหมายค้นให้ตามขอ โดยขอเข้าตรวจค้นในวันที่ 3 ก.พ.2559 เวลา 10.00 น
3.ในวันที่ 3 ก.พ.2559 เวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักปฏิบัติการพิเศษประมาณ 50 คน และตัวแทนผู้เสียหาย ได้เข้าตรวจค้นตามหมายทั้ง 3 จุด เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวและแสดงหมายค้นให้เจ้าของสถานที่ทราบ ซึ่งจากการตรวจค้นทั้ง 3 จุดพบของกลางเป็นน้ำหอมยี่ห้อต่างๆ รวมกว่า 20,000 ขวด และมีการควบคุมผู้ครอบครองไว้เพื่อบันทึกจับกุม ระหว่างนั้นเริ่มมีกลุ่มมวลชนชาวกัมพูชาเข้ามาล้อมส่งเสียงข่มขู่เจ้าหน้าที่และเริ่มขว้างปาก้อนหินใส่เจ้าหน้าที่ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ทยอยขนของกลางขึ้นใส่รถ กลุ่มมวลชนซึ่งมีแกนนำก็เข้ามาทำร้ายเจ้าหน้าที่ มีการขว้างก้อนอิฐ ก้อนหินใส่รถเจ้าหน้าที่จนเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บและรถยนต์ทางราชการเสียหาย นอกจากนี้กลุ่มมวลชนยังได้ลงมือชิงตัวผู้ต้องหาและของกลางที่เจ้าหน้าที่ขนขึ้นรถออกมาบางส่วน เมื่อสถานการณ์บานปลายได้มีการประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจมาระงับเหตุ และได้ถอนกำลังออกมา ในเวลาประมาณ 10.30 น.
จากพฤติการณ์ดังกล่าว จึงเห็นได้ว่ากลุ่มผู้กระทำผิดไม่ได้เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง อีกทั้งปัญหาของตลาดโรงเกลือที่เป็นแหล่งจำหน่ายสิ่งของละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาก็ถูกปล่อยปละละเลยมานาน จากที่ควรจะเป็นปัญหาระดับพื้นที่กลายเป็นปัญหาระดับประเทศ จนกรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งรับผิดชอบอาชญากรรมพิเศษจากส่วนกลางต้องเข้าไปดำเนินการ และในฐานะเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ต่อประเด็นการประสานงานในพื้นที่นั้น ตาม พ.ร.บ.การสอบสวน ฯ มาตรา 21/1 ให้อำนาจเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษในการขอสนธิกำลังกับหน่วยงาน กรณีมีเหตุจำเป็น ซึ่งเรื่องนี้หากเป็นกรณีปกติเพียงกำลังเจ้าหน้าที่ของกรม 50 นาย สามารถปฏิบัติการได้โดยไม่ต้องแจ้งประสานขอสนธิกำลัง แต่มีข้อสังเกตของการเข้าปิดล้อมของมวลชนต่างชาติในครั้งนี้ที่กระทำโดยรวดเร็ว มีแกนนำ เป็นขั้นเป็นตอน จึงอาจมีผู้อยู่เบื้องหลังมวลชนซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากขบวนการค้าสิ่งของละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และอาจเป็นความผิดอาญาเรื่องฟอกเงิน ซึ่งกรมสอบสวนคดีจะได้สืบสวนขยายผลต่อไป จึงประชาสัมพันธ์มาเพื่อทราบโดยทั่วกัน