นอกจากเหตุผลต้องการไปดูเรื่องสถานการณ์การท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหัวใจหลักของ จ.ภูเก็ต ดูพื้นที่เตรียมสร้างอุโมงค์จากป่าตองไปกะทู้ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการจราจร รองรับการท่องเที่ยวที่ขยายตัวแล้ว ยังถูกมองว่า จะเกี่ยวโยงกับเรื่องการเมือง ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติด้วย ในฐานะเป็นศูนย์กลางความเจริญในภาคใต้ แซงหน้าที่อื่น แม้แต่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
ภูเก็ตมี สส. 3 คนเป็นของพรรคก้าวไกลทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัว ว่าที่ผู้สมัครนายกฯอบจ.ภูเก็ตตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 แล้ว โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค เท่ากับเป็นการขยับ และเตรียมยึดพื้นที่ฐานการเมืองที่ภูเก็ตได้แบบเสร็จสรรพ หากหวังจะรุกฐานเสียงสนับสนุนของพรรคเพื่อไทยลงไปในภาคใต้ ที่เป็นเสมือนพื้นที่ “ต้องห้าม” สำหรับพรรคเพื่อไทย
แต่ไหนแต่ไรมาเคยปักธงแจ้งเกิด สส.พรรคไทยรักไทย ได้ครั้งเดียวและคนเดียว คือนายกฤษ ศรีฟ้า อดีต สส.พังงา เขต 2 เมื่อปี 48 หลังเหตุการณ์สึนามิ เมื่อปลายปี 2547 ครั้งนั้น นายกฤษมีบทบาทในการช่วยเหลือผู้ประสพภัย จนเป็นที่ประทับใจของคนในพื้นที่ในฐานะนักการเมืองท้องถิ่น
หลังจากนั้นพรรคเพื่อไทย ก็พยายามจะแจ้งเกิด สส.ในภาคใต้มาตลอด แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แม้แต่การเลือกตั้งครั้งหลังสุด ซึ่ง “นิด้าโพล” ของสถาบันบัณทิตพัฒนบริหารศาสตร์ พบว่า คะแนนนิยมตัวบุคคลใน 3 จังหวัดชายแดนใต้
ช่วงต้นปี 2566 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ขณะนั้น มีคะแนนอยู่อันดับ 3 รองจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรครวมไทยสร้างชาติ และนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ (ขณะนั้น) ยกเว้น จ.นราธิวาส ที่ น.ส.แพทองธาร อยู่อันดับ 2 เหนือนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา
ขณะที่คะแนนนิยมพรรคการเมือง พรรคเพื่อไทย อยู่อันดับ 2 รองจากพรรคประชาชาติ แต่เมื่อแยกเป็นรายจังหวัด กลับนำเป็นอันดับ 1 เหนือพรรคประชาชาติ ทั้งใน จ.ยะลา และนราธิวาส ส่วน จ.ปัตตานี อยู่อันดับ 2
เท่ากับส่อเค้ามีโอกาสจะได้ สส.ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เช่นเดียวกัน หากมีผลงานปรากฏให้เห็น และไม่ถูกพรรคประชาธิปัตย์ ค่อนขอดเรื่องไม่จัดสรรงบประมาณ ด้านถนนหนทางให้ โดยเฉพาะนายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค
เท่ากับเป็นพื้นที่เป้าหมายที่ต้องหวังอาศัยศักยภาพและฝีมือของนายทักษิณ ไม่ต่างจากในพื้นที่ภาคอีสาน ที่เดิมเคยเป็นหนึ่งในพื้นที่เขตอิทธิพลมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย
เสร็จสิ้นภารกิจที่ จ.ภูเก็ต นายทักษิณมีคิวเดินทางไปที่ภาคอีสาน เริ่มที่ จ.นครราชสีมาช่วงปลาย พ.ค. จากการเชิญชวนของนายสุวัจน์ ที่ยังคงต้องการพื้นที่ให้กับกลุ่มการเมืองและพรรคชาติพัฒนา และน่าจะมีคิวต่อเนื่องในจังหวัดอื่น ๆ รวมทั้งอุดรธานี ที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง
ก่อนหน้านี้ มีข่าววงในว่า นายทักษิณจะไปเยี่ยมไข้ นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร อดีตดีเจจัดรายการวิทยุเสื้อแดงชื่อดังแห่ง จ.อุดรธานี ที่มีอาการป่วยอยู่ แต่ยังไม่ได้เดินทางไป
ดูจากท่าทีล่าสุดที่กระฉับกระเฉง ไม่มีทั้งเฝือกคออ่อนที่คอ และอุปกรณ์พยุงแขน ที่เคยใส่เมื่อครั้งออกจากโรงพยาบาลตำรวจ ทำให้ทำนายได้ไม่ยากว่า การเดินทางลงพื้นที่ของนายทักษิณตามความต้องการ และเชิญชวนของ สส.ของพรรคเพื่อไทย โดยมีเป้าหมายใหญ่ของนายทักษิณ คือกระตุ้นและเรียกคะแนนนิยมให้กลับคืนพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง กำลังจะเริ่มอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง
เพื่อพิสูจน์ว่ายัง “ขลัง” และมีความสำคัญต่อพรรคเพื่อไทย ไม่เปลี่ยนแปลง หรือไม่
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา