นับตั้งแต่เรือขนน้ำมันเถื่อนของกลาง จำนวน 3 ลำ หายไปพร้อมกับน้ำมันเถื่อนของกลางกว่า 330,000 ลิตร เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 67 ประมาณเวลา 20.11 น. ข้อสังเกตของคนในแวดวงนี้คือ เรือน่าจะมุ่งหน้าไปทางเกาะกูด และใช้เวลา 1 วัน ก็สามารถเทียบท่าประเทศกัมพูชาได้ การเทียบท่าอาจจะมีความสัมพันธ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น คือเรือ 1 ใน 3 ลำ ถูกดัดแปลงสี และเชื่อว่าพยายามจะทำทั้ง 3 ลำ แต่ไม่ทัน และเรือทั้งหมด ถูกเรียกว่าเป็นเรือเล็ก ในสภาพคลื่นลมเช่นนี้ ไม่สามารถจะถ่ายน้ำมันระหว่างเรือได้ จำเป็นต้องถ่ายน้ำมันที่ท่าเรือ แต่เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ไทยประกาศขอความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกัมพูชาเป็น 1 ในนั้น อาจทำให้เรือถูกผลักดันออกมา แต่เรือไม่สามารถอยู่ในน่านน้ำสากลได้ ทำให้ต้องมาอยู่ที่พื้นที่ที่ทับซ้อนไม่มีใครเป็นเจ้าของ ซึ่งก็คือ เขตเศรษฐกิจจำเพาะ แหล่งข่าวอีกคน วิเคราะห์ข้อสันนิษฐานว่าเรือไปกัมพูชา ไปเวียดนาม แล้วกลับมาที่ทะเลทางตอนใต้นั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะต้องใช้เวลามากกว่า 10 วัน แต่เชื่อว่าเรือออกจากสัตหีบแล้ว มุ่งหน้าลงใต้ ออกสู่น่านน้ำสากลบริเวณรอยต่อไทย - มาเลเซีย ทันที
ภาพวงจรปิดบริเวณสะพานท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ ถูกตรวจสอบหาพยานหลักฐานต้องสงสัย ที่อาจเชื่อมโยงกับการหายไปของเรือ 3 ลำ โดยในภาพระบุ เวลา17.05 น. วันที่ 10 มิ.ย. มีรถบรรทุกแกลลอนน้ำ ขับเข้าไปประมาณ 20 นาที ก่อนจะขับออกมา ตรวจสอบพบว่าเป็นของตำรวจในสังกัดสถานีตำรวจน้ำ 3 กองกำกับการ 5 นำน้ำเปล่าไปเติมให้กับเรือที่จะออกไปปฏิบัติภารกิจ อบรม ศรชล.ภาค1 ที่จังหวัดระยอง